วิธีการเลือกซื้อ ลู่วิ่งไฟฟ้า
https://youtu.be/vgaC5AAe8Yo
ลู่วิ่งไฟฟ้า เป็นอุปกรณ์ออกกำลังกายที่ใช้ไฟฟ้า ที่มีขนาดใหญ่ และค่อนข้างมีราคา จึงมีหลักการเลือกซื้อสำคัญอยู่หลายประการ ทาง Force Fitness ขอแบ่งเป็นหัวข้อเพื่อง่ายในการทำความเข้าใจ ดังนี้
1. มอเตอร์ลู่วิ่งไฟฟ้า
กำลังของมอเตอร์ลู่วิ่งมีหน่วยเป็น แรงม้า (Horse Power หรือ HP) แรงม้ายิ่งเยอะ หมายถึงลู่วิ่งสามารถ รับน้ำหนักได้มากขึ้น ทำความเร็วสูงสุดได้มากขึ้น และ รองรับสายพานที่มีขนาดใหญ่ขึ้นซึ่งก็คือมีพื้นที่วิ่งที่มากขึ้น มอเตอร์ที่แรงม้าเยอะกว่าจึงดีกว่า โดยปกติแล้ว ลู่วิ่งที่ใช้ในบ้านที่เหมาะสมควรจะมีกำลังแรงม้าระหว่าง 1.5 – 3 .0 แรงม้า และเป็นมอเตอร์ชนิด DC ในขณะที่ถ้าซื้อเพื่อใช้ในฟิตเนส โรงยิม บริษัท ควรมีแรงม้าตั้งแต่ 4 แรงม้าขึ้นไป และเป็นมอเตอร์ AC
อย่างไรก็ตามกำลังของมอเตอร์ที่ทางร้านค้าส่วนใหญ่พูดกันจะเป็นแรงม้าสูงสุด (Peak Power) ซึ่งก็คือ แรงม้าสูงสุดที่มอเตอร์ทำได้โดยไม่ได้คำนึงถึงระยะเวลาใช้งาน เช่น ลู่วิ่งมอเตอร์ 3 แรงม้าเท่ากัน แต่ตัวหนึ่งสามารถวิ่งที่ 3 แรงม้าได้นาน 1 ชั่วโมง ในขณะที่อีกตัววิ่งที่ 3 แรงม้าได้เพียง 15 นาที แต่ทั้งสองตัวนี้ก็ต่างเป็นลู่วิ่ง 3 แรงม้าเหมือนกัน กำลังแรงม้าของลู่วิ่งจึงไม่ใช่ตัวตัดสินลู่วิ่งทั้งหมด เราต้องดูเรื่องของ การรับน้ำหนัก ความเร็วสูงสุด ขนาดพื้นที่วิ่ง ควบคู่กันไปด้วย
ชนิดของมอเตอร์ก็เป็นอีกเรื่องที่ใช้ในการตัดสินใจเลือกซื้อลู่วิ่ง โดย มอเตอร์ลู่วิ่งไฟฟ้า จะมีอยู่ 2 ชนิด คือ
- มอเตอร์ DC เป็นมอเตอร์ลู่วิ่งไฟฟ้าสำหรับใช้ในบ้านปกติ
- มอเตอร์ AC เป็นมอเตอร์ลู่วิ่งไฟฟ้าสำหรับใช้ในฟิตเนส โรงยิม หรือ กับคนที่ใช้งานหนักและวิ่งต่อเนื่องเป็นเวลานาน มีอายุการใช้งานยาวนานกว่า ซึ่งจะดีกว่ามอเตอร์แบบ DC แต่ก็มีราคาแพงกว่ามากเช่นกัน
2. ขนาดสายพาน
ขนาดสายพานของลู่วิ่งยิ่งมีขนาดใหญ่ ก็หมายความว่าเราก็มีพื้นที่วิ่งมากขึ้น วิ่งได้สบายขึ้น ไม่อึดอัดเวลาวิ่ง โดยเราจะต้องดูทั้งความกว้างและความยาวของสายพาน ยิ่งเยอะยิ่งดี แต่ก็หมายถึงราคาที่สูงขึ้นเช่นกัน พื้นที่วิ่งสัมพันธ์กับขนาดของผู้ใช้ หลายๆ คนจึงควรลองไปวิ่งดูก่อนตัดสินใจซื้อ สำหรับการใช้งานวิ่งปกติ เราควรเลือกลู่วิ่งไฟฟ้าที่มีขนาดสายพานกว้างไม่ต่ำกว่า 40 เซนติเมตร และ ยาวไม่น้อยกว่า 120 เซนติเมตร ซึ่งถือเป็นขนาดที่ไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไป
3. น้ำหนักที่รับได้
น้ำหนักสูงสุดที่ลู่วิ่งรับได้เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดูก่อนซื้อลู่วิ่งไฟฟ้า เพราะถ้าผู้ใช้มีน้ำหนักมากกว่าน้ำหนักที่ลู่วิ่งรับได้ จะทำให้มอเตอร์และสายพานทำงานหนักกว่าที่กำหนดไว้ ส่งผลให้ลู่วิ่งไฟฟ้ามีโอกาสชำรุดเสียหายได้ โดยปกติแล้วเราควรเลือกลู่วิ่งไฟฟ้าที่รับน้ำหนักผู้ใช้ได้ไม่ต่ำกว่า 100 กิโลกรัม
4. ความเร็วสูงสุด
ความเร็วสูงสุดที่ลู่วิ่งทำได้ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ห้ามมองข้าม เพราะลู่วิ่งที่ทำความเร็วสูงสุดได้มากกว่า มักจะหมายถึงคุณภาพของมอเตอร์และองค์ประกอบอื่นๆ ที่ดีกว่า และยังเกี่ยวข้องกับการใช้งานอีกด้วย เช่น แรกๆ ที่เราฝึกซ้อมวิ่ง เราอาจวิ่งได้ที่ความเร็วสูงสุดที่ 8 กม./ชม. เมื่อเราวิ่งนานๆ เข้า เราอาจจะทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 14 กม./ชม. แต่ถ้าลู่วิ่งที่เราซื้อมาสามารถทำความเร็วได้สูงสุดเพียง 12 กม./ชม. ก็หมายความว่าเราไม่สามารถออกกำลังกายได้อย่างเต็มความสามารถของเรานั่นเอง โดยปกติแล้ว เราควรเลือกซื้อลู่วิ่งไฟฟ้าที่ทำความเร็วได้สูงสุดไม่ต่ำกว่า 14 กม./ชม.
5. ความชัน
ความชัน (Inclination) เป็นการปรับองศาการวิ่งให้สูงขึ้น เหมือนกับการวิ่งขึ้นเขา ซึ่งเป็นการเพิ่มความเข้มข้นของการฝึกวิ่ง รวมไปถึงเป็นการฝึกวิ่งอีกแบบหนึ่ง ทั้งนี้เพราะการฝึกวิ่งแบบคุมอัตราการเต้นของหัวใจนั้น เราอาจจะไม่ต้องวิ่งเร็วมากก็ได้ เพียงแต่ปรับองศาการวิ่งให้มากขึ้น อัตราการเต้นของหัวใจก็จะมากขึ้นไปด้วย ลู่วิ่งไฟฟ้าที่มีการปรับความชันได้จึงช่วยรองรับการฝึกวิ่งได้หลากหลายมากกว่า โดยจะมีการปรับความชันอยู่ 2 วิธี คือ
- ปรับความชันด้วยมือ (Manual Inclination) ผู้ใช้จะต้องทำการปรับความชันของการวิ่งด้วยตัวเองก่อนที่จะเริ่มทำการวิ่ง และไม่สามารถเปลี่ยนความชันระหว่างทำการวิ่งได้ จึงไม่สะดวกนัก ส่วนใหญ่แล้วลู่วิ่งที่ปรับความชันด้วยมือ จะมีให้เลือกความชันที่ 0% – 5%
- ปรับความชันอัตโนมัติ (Auto Inclination) หรือการปรับความชันไฟฟ้า ผู้ใช้สามารถปรับความชันขึ้นลงได้เลยขณะที่กำลังวิ่งอยู่ จึงสะดวกมาก และ เหมาะมากสำหรับคนที่ต้องการวิ่งไปด้วยปรับความชันไปด้วย โดยส่วนใหญ่แล้วลู่วิ่งที่สามารถปรับความชันอัตโนมัติจะสามารถปรับได้ที่ 0%-20%
6. ระบบลดแรงกระแทก
การวิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งปกติ หรือ การวิ่งบนลู่วิ่งไฟฟ้า ก็มีแรงกระแทกต่อเข่าและข้อเท้าทั้งสิ้น เพื่อลดอาการบาดเจ็บจากการวิ่งที่เข่าและข้อเท้าลู่วิ่งไฟฟ้าหลายๆ ตัวจึงพัฒนาเทคโนโลยีระบบลดแรงกระแทกออกมา ระบบลดแรงกระแทกที่ดีจะทำให้เราสามารถวิ่งได้ปลอดภัยขึ้น ป้องกันอาการบาดเจ็บ และวิ่งได้นานขึ้นอีกด้วย ดังนั้นจึงควรพิจารณาเลือกซื้อลู่วิ่งที่มีระบบลดแรงกระแทกมากกว่ารุ่นที่ไม่มี
7. โปรแกรมวิ่ง
โดยปกติแล้ว ลู่วิ่งไฟฟ้าจะมีโปรแกรมวิ่งในตัวมาให้ 3-12 โปรแกรม เราสามารถเลือกฝึกตามโปรแกรมได้ โดยโปรแกรมวิ่งมักจะถูกออกแบบมาให้เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จึงเหมือนกับการที่เราพัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ ตามโปรแกรมวิ่ง นอกจากนี้ลู่วิ่งไฟฟ้าที่มีราคาแพงรวมไปถึงลู่วิ่งไฟฟ้าที่มีหน้าจอแบบสัมผัส หรือ Touch Screen จะสามารถให้เราสร้างโปรแกรมการวิ่งของเราเองได้ รวมถึงมีโปรแกรมการวิ่งหลากหลายตามวัตถุประสงค์อีกด้วย เช่น โปรแกรมวิ่งเพื่อลดน้ำหนัก โปรแกรมวิ่งเพื่อสุขภาพหัวใจที่ดีขึ้น ลู่วิ่งที่มีลูกเล่นของโปรแกรมการวิ่งที่หลากหลายจึงช่วยให้การวิ่งสนุกและท้าทายมากขึ้น
8. การพับเก็บ
การพับเก็บลู่วิ่งก็เป็นเรื่องที่มองข้ามไปไม่ได้ เพราะลู่วิ่งไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ที่มีขนาดใหญ่และกินพื้นที่มาก ลู่วิ่งที่สามารถพับเก็บได้จะช่วยประหยัดพื้นที่ในส่วนนี้ได้ ลู่วิ่งมีการพับเก็บอยู่ 2 ระบบ ดังนี้
- ระบบสลักล็อค ผู้ใช้จะต้องยกลู่วิ่งขึ้นลงด้วยแรงตัวเอง จากนั้นจึงใช้สลักยึดตัวลู่วิ่งให้อยู่กับที่ ระบบนี้ไม่สะดวกและใช้แรงเยอะ จะใช้กับลู่วิ่งที่มีขนาดเล็กเท่านั้น และลู่วิ่งบางตัวที่ใช้ระบบนี้จะไม่สามารถเก็บในแนวตั้งได้อีกด้วย
- ระบบไฮดรอลิค (Hydraulic) จะมีไฮดรอลิคช่วยทั้งเวลายกลู่วิ่งขึ้นและลง จึงสะดวกและไม่ต้องใช้แรงมาก และระบบไฮดรอลิคส่วนมาำจะทำเพื่อให้ลู่วิ่งสามารถพับเก็บแนวตั้งได้ จึงประหยัดพื้นที่มากที่สุดนั่นเอง
9. การจัดส่งและการติดตั้ง
ลู่วิ่งไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ออกกำลังกายที่มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมาก เรื่องการจัดส่งจึงเป็นสิ่งที่ลูกค้าหลายๆ คนต้องคำนึงถึง โดยส่วนมากแล้วราคาค่าการจัดส่งจะขึ้นอยู่กับพื้นที่ของลูกค้า ควรสอบถามให้ชัดเจนว่าร้านค้าจะจัดส่งให้ลูกค้าแบบใด มีบริการติดตั้งให้หรือไม่ และมีค่าใช้จ่ายด้านใดเพิ่มขึ้นมาหรือเปล่า
10. การรับประกันและบริการหลังการขาย
การรับประกันเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องให้ความสนใจเมื่อจะซื่อลู่วิ่ง เพราะว่าสินค้าทุกชนิดมีโอกาสชำรุดเสียหายได้ เราต้องสอบถามให้แน่ใจในเรื่องนโยบายการรับประกันสินค้าของลู่วิ่งไฟฟ้าที่เราซื้อมาว่าเป็นอย่างไร โดยส่วนใหญ่แล้วลู่วิ่งจะรับประกัน 1 ปี เฉพาะมอเตอร์รับประกัน 5 ปี
นอกจากนี้เราควรสอบถามเรื่องบริการหลังการขายอีกด้วย ว่ามีเป็นบริการแบบ On-Site Service ซึ่งก็คือบริการถึงที่บ้านลูกค้า หรือเป็นการส่งสินค้าเข้าศูนย์ หรือเป็นการเปลี่ยนอะไหล่ เพราะจะทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่าเวลามีปัญหาเราจะต้องทำอย่างไร ร้านที่น่าเชื่อถือและมีบริการที่ดีจะมีนโยบายเหล่านี้อย่างชัดเจนและมีความรับผิดชอบต่อลูกค้าที่ดีกว่าร้านทั่วๆ ไปอีกด้วย
สรุป
และนี่คือ 10 ข้อหลัก ที่เราควรรู้ก่อนจะซื้อลู่วิ่งไฟฟ้า จาก Force Fitness ทั้งนี้ไม่ว่าจะซื้อลู่วิ่งทางออนไลน์ ซื้อจากตัวแทนจำหน่าย ซื้อจากห้างหรือร้านค้าต่างๆ ก็ยังคงใช้ 10 ข้อเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน